วันพุธที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2560

วาเลนไทน์


สาระน่ารู้ หินงอกหิ้นย้อยเกิดจากอะไร


กระบวนการเกิดหินงอก หินย้อย เกิดจากอะไร และเกิดขึ้นได้อย่างไร



หินงอกหินย้อย คือปรากฏการณ์ชนิดหนึ่งที่เกิดต่อเนื่องกันมาเป็นเวลาหลายๆ พันหรือหมื่นปี ซึ่งส่วนใหญ่นั้นมักเกิดขึ้นในถ้ำหินปูน เพราะมีความชื้นอันเป็นปัจจัยของการเกิดขึ้นของปรากฏการณ์ประเภทนี้ ลักษณะของหินงอกหินย้อยนั้น เป็นหินที่ยื่นหรือหยดเข้าหากันคล้ายกับเป็นของเหลว โดยมากเราเรียกหินที่หยดลงมาจากด้านบนว่าหินย้อย และเรียกหินที่ยื่นขึ้นไปจากทางด้านล่างว่าหินงอก ซึ่งกระบวนการต่างๆ ที่ทำให้เกิดสภาพนี้นั้นสามารถอธิบายได้ดังต่อไปนี้ 1. หินงอกหินย้อยเกิดจากความชื้นต่างๆ ที่สะสมอยู่ในดิ้น คือเมื่อปลายยุคน้ำแข็ง หิมะเริ่มละลายตัว และความชื้นต่างๆ ก็ไหลมาสะสมในดิน หรือช่องว่างระหว่างดิน กลายเป็นธารน้ำใต้ดิน 2. เมื่อน้ำใต้ดินนั้นรวมตัวกับคาร์บอนไดออกไซด์ ทำให้เกิดกระบวนการสึกกร่อน และเกิดเป็นกรดคาร์บอนิก ซึ่งเป็นกรดอ่อนชนิดหนึ่ง ซึ่งเมื่อหินปูนนั้นเจอกับกรดคาร์บอนิกที่สามารถกัดกร่อนหินปูนได้นั้น ก็จะทำให้เกิดช่องว่างขึ้น เล็กบ้างใหญ่บ้าง ซึ่งเราเรียกช่องว่างที่เกิดขึ้นใหม่นี้ว่า ถ้ำ 3. หินย้อย เกิดได้จากกระบวนการเหล่านี้เอง คือกล่าวกันได้ว่า หินย้อยคือหินปูนที่ จับตัวกันเป็นแท่งหรือแผ่นย้อยลงมาจากเพดานถ้ำ ซึ่งเมื่อมีน้ำที่มีหินปูนสะสมอยู่หยดลงมาตามรอยแตกหรือรอยแยก ซึ่งเมื่อน้ำนั้นสูญเสียคาร์บอนไดออกไซด์ออกไป ก็จะทำให้เกิดสารประกอบประเภทคาร์บอเนต จากนั้นเมื่อเกิดการสะสมตัวพอกพูนมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เกิดเป็นแท่งหินที่ย้อยลงมาจากเพดานถ้ำ โดยมากมักมีลักษณะกลวงด้านใน 4. หินงอก เป็นกระบวนการที่คล้ายกันก็คือ เกิดจากน้ำที่มีหินปูนสะสมอยู่ที่หยดลงมาจากเพดานถ้ำ สู่ชั้นหินเบื้องล่าง ความที่น้ำนั้นมีตะกอนหินปูนอยู่มาก เมื่อเกิดการสูญเสียคาร์บอนไดออกไซด์ไปจึงทำให้เกิดสะสมเป็นแท่ง ยื่นไปในอากาศสูงจากพื้นถ้ำ ซึ่งกระบวนการเกิดหินงอกหินย้อยนี้มีความสัมพันธ์กัน ดังนั้นเมื่อเกิดหินย้อยแล้วต้องมีหินงอกด้วย (ยกเว้นถ้ำที่ไม่มีพื้น) และเมื่อมีหินงอกต้องมีหินย้อยด้วยเช่นกัน สำหรับผู้ที่สนใจอยากจะเที่ยวชมถ้ำหินงอกหินย้อยนั้น ในประเทศไทยก็มีอยู่หลายที่ พบได้บ่อยทั่วไปทุกภาคของประเทศไทย เช่นถ้ำละว้า จ. กาญจนบุรี …
stalactites-begin-01



สรรพคุณของกระเทียม

กระเทียม

กระเทียม ชื่อสามัญ Garlic
กระเทียม ชื่อวิทยาศาสตร์ คือคำว่า Allium sativum L. จัดอยู่ในวงศ์พลับพลึง (AMARYLLIDACEAE) และอยู่ในวงศ์ย่อย ALLIOIDEAE (ALLIACEAE)
สำหรับในประเทศไทยนิยมปลูกมากในทางภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ แต่สำหรับกระเทียมที่ขึ้นชื่อว่ามีคุณภาพดี กลิ่นฉุนคงหนีไม่พ้นจังหวัดศรีสะเกษ

สรรพคุณของกระเทียม

  1. กระเทียมประโยชน์ของกระเทียม ช่วยบำรุงผิวหนังให้มีสุขภาพดีและแข็งแรง
  2. ช่วยเสริมสร้างการเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อในร่างกาย
  3. ช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง
  4. ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานให้แก่ร่างกาย
  5. ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและน้ำตาลในเลือด
  6. ประโยชน์กระเทียม ช่วยปรับสมดุลในร่างกาย
  7. ช่วยแก้อาการวิงเวียนศีรษะ อาการมึนงง ปวดศีรษะ หูอื้อ
  8. ช่วยในเรื่องระบบสืบพันธุ์และระบบทางเดินปัสสาวะ เพราะมีสารที่ช่วยควบคุมฮอร์โมนทั้งหญิงและชาย ช่วยทำให้มดลูกบีบตัว เพิ่มพละกำลังให้มีเรี่ยวแรง
  9. ช่วยรักษาโรคความดันโลหิต
  10. ช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจ ลดความเสี่ยงของหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน
  11. ช่วยต่อต้านเนื้องอก
  12. กระเทียม ประโยชน์ช่วยแก้ปัญหาผมบาง ยาวช้า มีสีเทา
  13. ช่วยป้องกันการเกิดและรักษาโรคโลหิตจาง
  14. ช่วยในการขับพิษและสารพิษอันตรายที่ปนเปื้อนในเม็ดเลือด
  15. กระเทียมสรรพคุณช่วยป้องกันผนังหลอดเลือดหนาและแข็งตัว
  16. สารสกัดน้ำมันกระเทียมมีสารที่มีส่วนช่วยในการละลายลิ่มเลือด
  17. ช่วยป้องกันการเกิดเส้นเลือดอุดตัน
  18. มีสารต่อต้านไม่ให้เม็ดเลือดแดงแตก
  19. ช่วยบรรเทาอาการไอ น้ำมูกไหล ป้องกันหวัด
  20. ช่วยรักษาโรคไข้หวัดและไข้หวัดใหญ่
  21. ช่วยรักษาอาการเยื่อบุจมูกอักเสบและไซนัส
  22. ช่วยรักษาโรคไอกรน
  23. สรรพคุณกระเทียมช่วยแก้อาการหอบ หืด
  24. ช่วยรักษาโรคหลอดลม
  25. ช่วยระงับกลิ่นปาก
  26. ช่วยในการขับเหงื่อ
  27. สรรพคุณของกระเทียมช่วยในการขับเสมหะ
  28. ช่วยควบคุมโรคกระเพาะ ด้วยสารที่ช่วยยับยั้งไม่ให้น้ำย่อยอาหารมาย่อยแผลในกระเพาะ
  29. มีสรรพคุณช่วยในการขับลม
  30. ช่วยรักษาอาการจุกเสียดแน่นท้อง ท้องอืด ท้องเฟ้อ
  31. ช่วยป้องกันโรคท้องผูก
  32. ช่วยรักษาโรคบิด
  33. กระเทียมมีสรรพคุณช่วยในการขับปัสสาวะ
  34. ช่วยในการขับพยาธิได้หลายชนิด เช่น พยาธิแส้ม้า พยาธิเส้นด้าย พยาธิเข็มหมุด พยาธิไส้เดือน เป็นต้น
  35. ช่วยรักษาโรคตับอ่อนอักเสบชนิดรุนแรงได้
  36. ช่วยป้องกันการเกิดโรคไต
  37. ช่วยฆ่าเชื้อรา เชื้อแบคทีเรียต่าง ๆ รวมถึงเชื้อราตามหนังศีรษะและบริเวณเล็บ
  38. ช่วยยับยั้งเชื้อต่าง ๆ เช่น เชื้อที่ทำให้เกิดฝีหนอง คออักเสบ เชื้อปอดบวม เชื้อวัณโรค เป็นต้น
  39. ช่วยกำจัดพิษจากสารตะกั่ว
  40. ช่วยรักษากลาก เกลื้อน
  41. ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของเนื้อเยื่อ บำรุงข้อต่อและกระดูกในร่างกาย
  42. บรรเทาอาการปวดข้อและปวดเมื่อยตามร่างกาย
  43. ช่วยแก้อาการเคล็ดขัดยอกและเท้าแพลง เพราะมีสารที่ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดมายังบริเวณที่นวดยาได้ดีมากขึ้นนั่นเอง
  44. มีสารต้านอาการไขข้ออักเสบ โรคข้อรูมาติสซั่ม
  45. กระเทียมมีกลิ่นฉุนจึงสามารถช่วยไล่ยุงได้เป็นอย่างดี
  46. ช่วยกระตุ้นน้ำย่อย เพิ่มความยากอาหาร

    ประโยชน์ของกระเทียม

    1. ประโยชน์หลัก ๆ ของกระเทียมคงหนีไม่พ้นการนำมาใช้เพื่อช่วยปรุงรสชาติของอาหาร ไม่ว่าจะใช้ผัด แกง ทอด ยำ ต้มยำ หรือน้ำพริกต่าง ๆ อีกสารพัด
    2. กระเทียมเป็นเครื่องสมุนไพรที่อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิด และยังเป็นพืชที่ธาตุซีลีเนียมสูงกว่าพืชชนิดอื่น ๆ อีกทั้งยังมีสารอะดีโนซีน (Adenosine) ซึ่งเป็นกรดนิวคลีอิกที่เป็นตัวสร้าง DNA และ RNA ของเซลล์ในร่างกาย
    3. นอกจากนี้ยังมีการนำกระเทียมไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ อย่างหลากหลาย เช่น กระเทียมเสริมอาหาร กระเทียมสกัดผง สารสกัดน้ำมันกระเทียม กระเทียมดอง เป็นต้น

    คุณค่าทางโภชนาการของกระเทียมดิบ ต่อ 100 กรัม

    • พลังงาน 149 กิโลแคลอรี
    • คาร์โบไฮเดรต 33.06 กรัม
    • น้ำตาล 1 กรัม
    • เส้นใยอาหาร 2.1 กรัม
    • ไขมัน 0.5 กรัม
    • โปรตีน 6.36 กรัม
    • วิตามินบี 1 0.2 มิลลิกรัม 17%
    • วิตามินบี 2 0.11 มิลลิกรัม 9%
    • วิตามินบี 3 0.7 มิลลิกรัม 5%
    • วิตามินบี 5 0.596 มิลลิกรัม 12%
    • วิตามินบี 6 1.235 มิลลิกรัม 95%
    • วิตามินบี 9 3 ไมโครกรัม 1%
    • วิตามินซี 31.2 มิลลิกรัม 38%
    • ธาตุแคลเซียม 181 มิลลิกรัม 18%
    • ธาตุเหล็ก 1.7 มิลลิกรัม 13%
    • ธาตุแมกนีเซียม 25 มิลลิกรัม 7%
    • ธาตุแมงกานีส 1.672 มิลลิกรัม 80%
    • ธาตุฟอสฟอรัส 153 มิลลิกรัม 22%
    • ธาตุโพแทสเซียม 401 มิลลิกรัม 9%
    • ธาตุสังกะสี 1.16 มิลลิกรัม 12%
    • ธาตุซีลีเนียม 14.2 ไมโครกรัม
    % ร้อยละของปริมาณแนะนำที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันสำหรับผู้ใหญ่ (แหล่งที่มา : USDA Nutrient database)

    คำแนะนำและข้อควรระวังในการใช้กระเทียม

    • กระเทียมยิ่งสดเท่าไหร่ก็ยิ่งมีสรรพคุณที่ดีมากขึ้นเท่านั้น แต่สำหรับกระเทียมที่ผ่านความร้อนด้วยวิธีการต่าง ๆ หรือผ่านการหมักดอง จะทำให้วิตามินและสารอัลลิซินที่มีอยู่ในกระเทียมนั้นสลายตัวไป
    • วิตามินและแร่ธาตุที่อยู่ในกระเทียมนั้น จะมีมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับดินและสภาพอากาศที่ใช้ในการเพาะปลูกอีกด้วย
    • สำหรับหญิงที่กำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร ผู้ที่มีระดับน้ำตาลในเลือดเป็นปกติ มีระดับความดันโลหิตเป็นปกติ ผู้ที่มีอาการของเลือดหยุดไหลช้า รวมไปถึงผู้ที่ใช้ยาอื่น ๆ เป็นประจำ เช่น ยาปฏิชีวนะ ยาแอสไพริน ยาแก้อักเสบ ยาต้านไวรัส คุณไม่ควรรับประทานกระเทียมหรือผลิตภัณฑ์กระเทียมเสริมในปริมาณที่มากจนเกินไป เพราะอาจจะทำให้เป็นโทษต่อร่างกายได้
    • สำหรับผู้ที่ได้รับกลิ่นของกระเทียมเป็นประจำ อาจทำให้เกิดอาการแพ้กระเทียมเมื่อรับประทานได้ โดยอาจจะมีอาการคลื่นไส้ และมีอาหารหัวใจที่เต้นแรงผิดปกติ แต่อาการดังกล่าวจะค่อย ๆ หายไปเองภายในเวลา 3-4 ชั่วโมง ซึ่งกระเทียมที่นำมาใช้ในการประกอบอาหารมักจะก่อให้เกิดอาการแพ้ได้น้อยกว่ากระเทียมแบบสด ๆ
    • สำหรับผู้ที่อยู่ในครัวหรือผู้ต้องใช้มือสัมผัสกับกระเทียมเป็นประจำและเป็นระยะเวลานาน อาจทำให้ผิวหนังเกิดการอักเสบ มีตุ่มน้ำได้ ดังนั้นคุณควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสกระเทียมโดยตรงเป็นประจำด้วยการสวมถึงมือทุกครั้งในขณะที่จะใช้กระเทียม
    • แม้ว่ากระเทียมจะเป็นพืชที่มีสรรพคุณอยู่มากมาย แต่คุณก็ไม่ควรที่จะเลือกใช้กระเทียมเพื่อหวังผลในการรักษาอาการหรือโรคใดโรคหนึ่ง อีกทั้งผลลัพธ์ที่ได้ในแต่ละบุคคลก็อาจจะแตกต่างกันออกไป ดังนั้นคุณควรเลือกรับประทานให้หลากหลายและครบ 5 หมู่ จะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด เพราะพืชผักสมุนไพรทั่ว ๆ ไป ถ้าศึกษากันจริง ๆ แล้ว มันก็มีประโยชน์ไม่น้อยไปกว่ากันเลย
    • ปัจจุบันในบ้านเรายังไม่มีการรับรองว่ากระเทียมนั้นจะสามารถรักษาโรคได้จริง คงเป็นได้เพียงแต่สมุนไพรทางเลือกในการรักษาและสมุนไพรเสริมสุขภาพเท่านั้น

แหล่งเศรษฐกิจ

ทำเลที่ตั้งและอาณาเขต
ทวีปอเมริกาใต้ตั้งอยู่บนซีกโลกใต้เป็นส่วนมากโดยอยู่ระหว่างละติจูดที่12 อาศาเหนือ ถึง 56 องศาใต้ และลองจิจูด 35 องศาตะวันออก ถึง 117 องศาตะวันตก มีเนื้อที่ประมาณ 17.8 ล้านตารางกิโลเมตร หรือคิดเป็นร้อยล่ะ14 ของแผ่นดินโลก ใหญ่เป็นอันดับ ของโลก และมีเนื่อที่แผ่นดินติดต่อกันทำให้ชายฝั่งของทะเลมีน้อยเมื่อเทียบกับขนาดของทวีป โดยทวีปอเมริกาใต้มีแผ่นดินใหญ่รูปร่างคล้ายสามเหลี่ยม
อาณาเขต
ทวีปอเมริกาใต้มีอาณาเขตติดต่อกับทวีปต่างๆดังนี้
ทิศเหนือ ติดต่อกับทวีปอเมริกากลาง และจดทะเลแคริบเบียน
ทิศตะวันออก จดมหาสมุทรแอตแลนติก อาณาเขตสิ้นสุดที่เกาะจอร์เจียใต้
ทิศตะวันตก จดมหาสมุทรแปซิฟิกใต้ และอาณาเขตสิ้นสุดที่เกาะอีสเตอร์ของประเทศชิลี
ทิศใต้ จดช่องแคบเดรกในทวีปแอนตาร์กติกา และ อาณาเขตสิ้นสุดที่แหลมฮอร์นของประเทศชิลี 
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ทำเลที่ตั้ง อเมริกาใต้
เศรษฐกิจของทวีปอเมริกาใต้
ลักษณะเศรษฐกิจในทวีปอเมริกาใต้ ประเทศต่างๆในทวีปอเมริกาใต้ อยู่ในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา อุปสรรคที่สำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจ คือ
· ขาดแคลนเงินทุน · ขาดเทคโนโลยีสมัยใหม่· ลักษณะภูมิประเทศไม่เอื้ออำนวย · อยู่ห่างไกลจากตลาดการค้าของโลก 
อาชีพที่สำคัญทางเศรษฐกิจได้แก่ 1. การเพาะปลูก มี 2 ลักษณะ คือ 1.1 การเพาะปลูกเพื่อยังชีพ ชาวพื้นเมืองจะทำการเพาะปลูกในพื้นที่ขนาดเล็ก และการทำไร่เลื่อนลอย บริเวณลุ่มแม่น้ำแอมะซอน และบริเวณที่สูงของทวีป พืชที่ปลูกได้แก่ ผัก ข้าวโพด มันสำปะหลัง มันเทศ ถั่วลิสง
1.2 การเพาะปลูกเพื่อการค้า ได้แก่ 
· ข้าวโพด ปลูกมากในเขตอากาศอบอุ่น ประเทศบราซิล อาร์เจนตินา · ข้าวสาลี ปลูกมากบริเวณทุ่งหญ้าปามปาส ประเทศอาร์เจนตินา· กาแฟ และ อ้อย ปลูกมากในบราซิล โคลัมเบีย เอกวาดอร์ · ฝ้าย ในบราซิล อาร์เจนตินา เปรู· กาเกา ปลูกมากในบราซิล เอกวาดอร์ เวเนซูเอลา · ยางพารา ปลูกมากในบราซิล อุรุกวัย 2. การทำป่าไม้ เขตป่าดงดิบบริเวณลุ่มแม่น้ำแอมะซอน คือ ป่าเซลวาส เป็นป่าที่อยู่ในเขตอากาศร้อนชื้น ลำต้นสูงใหญ่ ปกคลุมพื้นที่หนาแน่น เป็นเขตทุรกันดาร การคมนาคมไม่สะดวก จึงมีการทำป่าไม้เฉพาะบริเวณที่มีแม่น้ำไหลผ่าน 

3. การเลี้ยงสัตว์ ทวีปอเมริกาใต้มีทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ที่กว้างขวางมาก สัตว์เลี้ยงสำคัญ คือ วัวพันธุ์เนื้อ เลี้ยงมากบริเวณชายฝั่งตะวันออกของบราซิล อุรุกวัย อาร์เจนตินา ตอนเหนือของเวเนซูเอลา และโคลัมเบีย ประเทศที่ส่งวัวเนื้อออกจำหน่ายมากที่สุดของทวีป คือ อาร์เจนตินา · แกะพันธุ์เนื้อ และพันธุ์ขน เลี้ยงมากบริเวณเขตอากาศกึ่งแห้งแล้งของเปรู ชิลี ที่ราบสูงปาตาโกเนีย และทางตอนใต้ของอาร์เจนตินา · หมู เลี้ยงในบราซิล และอาร์เจนตินา 4. การประมง ส่วนใหญ่ทำการประมงขนาดเล็กบริเวณชายฝั่ง แหล่งประมงที่สำคัญของทวีป คือ บริเวณชายฝั่งประเทศเปรู อาร์เจนตินา บราซิล หมู่เกาะฟอล์กแลนด์ หมู่เกาะของเวเนซุเอลา ประเทศเปรู ส่งเสริม การทำปลาสดแช่เย็น ส่งไปจำหน่ายที่ประเทศสหรัฐอเมริกา 
5. การทำเหมืองแร่ ทวีปอเมริกาใต้ เป็นแหล่งทรัพยากรที่สำคัญของโลก แหล่งแร่ที่สำคัญได้แก่· น้ำมันปิโตรเลียม ขุดเจาะในประเทศอาร์เจนตินา · เหล็ก ทองแดง ในประเทศบราซิล ชิลี · ดีบุก ในโบลิเวีย· ไนเตรต นำมาทำปุ๋ย ในเขตทะเลทรายอะตากามา ตอนเหนือของประเทศชิลี · แร่บอกไซต์ แมงกานีส เงิน และพลวง ในประเทศซูรินาเม กายอานา 
6. การอุตสาหกรรม ส่วนใหญ่เป็นโรงงานอุตสาหกรรมขนาดย่อม และอุตสาหกรรมในครัวเรือน จัดอยู่ในขั้นกำลังพัฒนา อุตสาหกรรมส่วนใหญ่เป็นการแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร เช่น · อาหาร ประเภทเนื้อวัว เนื้อแกะสำเร็จรูป ในอาร์เจนตินา บราซิล ชิลี · สัตว์น้ำแช่แข็ง และปลากระป๋อง ในเปรู อาร์เจนตินา · น้ำตาลทราย ในโคลัมเบีย บราซิล·สกัดน้ำมันปาล์ม ในโคลัมเบีย เอกวาดอร์ · สกัดน้ำมันถั่วเหลือง ในบราซิล อาร์เจนตินา· ทอผ้าฝ้าย ในบราซิล อาร์เจนตินา เปรู ชิลี · ยางพารา ใน บราซิล· โรงงงานอุตสาหกรรมสมัยใหม่ที่ใช้เงินทุนสูง เทคโนโลยีชั้นสูงจะเป็นการลงทุนร่วมกัน ระหว่างประเทศในทวีปอเมริกาใต้ และนักลงทุนชาติต่างๆ เช่นชาวอเมริกัน และชาวญี่ปุ่น เป็นต้น 
7. การพาณิชยกรรม สินค้าหลักของทวีปอเมริกาใต้ เป็นประเภทวัตถุดิบ ที่ส่งเป็นสินค้าออก คือ · บราซิล ส่งออกกาแฟ น้ำตาลทราย ยาสูบ กล้วย ผลไม้ตระกูลส้ม · อาร์เจนตินา ส่งออกเนื้อสัตว์ ขนแกะ ฝ้าย ข้าวโพด ข้าวสาลี · เปรู ส่งออก มันฝรั่ง สัตว์น้ำ สินค้าที่สั่งเข้าได้แก่ เครื่องจักรกลสำหรับการเกษตร เคมีภัณฑ์ เยื่อกระดาษ รถยนต์ เสื้อผ้าสำเร็จรูป เครื่องใช้ไฟฟ้า 

โครงการแก้มลิง

โครงการแก้มลิง

 ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ โครงการแก้มลิง



 ความเป็นมาของโครงการแก้มลิง

          โครงการแก้มลิง เป็นแนวคิดในพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อแก้ปัญหาอุทกภัย โดยพระองค์ทรงตระหนักถึงความรุนแรงของอุทกภัยที่เกิดขึ้นในกรุงเทพมหานคร เมื่อปี พ.ศ.2538 จึงมีพระราชดำริ "โครงการแก้มลิง" ขึ้น เมื่อวันที่ ๑๔ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๓๘ โดยให้จัดหาสถานที่เก็บกักน้ำตามจุดต่างๆ ในกรุงเทพมหานคร เพื่อรองรับน้ำฝนไว้ชั่วคราว เมื่อถึงเวลาที่คลองพอจะระบายน้ำได้จึงค่อยระบายน้ำจากส่วนที่กักเก็บไว้ออกไป จึงสามารถลดปัญหาน้ำท่วมได้

          ทั้งนี้ นอกจากโครงการแก้มลิงจะมีขึ้นเพื่อช่วยระบายน้ำ ลดความรุนแรงของปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่กรุงเทพมหานครและบริเวณใกล้เคียงแล้ว ยังเป็นการช่วยอนุรักษ์น้ำและสิ่งแวดล้อมอีกด้วย โดยน้ำที่ถูกกักเก็บไว้ เมื่อถูกระบายสู่คูคลอง จะไปบำบัดน้ำเน่าเสียให้เจือจางลง และในที่สุดน้ำเหล่านี้จะผลักดันน้ำเสียให้ระบายออกไปได้

แนวคิดของโครงการแก้มลิง

          แนวคิดของโครงการแก้มลิง เกิดจากการที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระราชดำริถึงลิงที่อมกล้วยไว้ในกระพุ้งแก้มได้คราวละมากๆ จึงมีพระราชกระแสอธิบายว่า "ลิงโดยทั่วไปถ้าเราส่งกล้วยให้ ลิงจะรีบปอกเปลือก เอาเข้าปากเคี้ยว แล้วนำไปเก็บไว้ที่แก้มก่อน ลิงจะทำอย่างนี้จนกล้วยหมดหวีหรือเต็มกระพุ้งแก้ม จากนั้นจะค่อยๆ นำออกมาเคี้ยวและกลืนกินภายหลัง" ด้วยแนวพระราชดำรินี้ จึงเกิดเป็น "โครงการแก้มลิง" ขึ้น เพื่อสร้างพื้นที่กักเก็บน้ำ ไว้รอการระบายเพื่อใช้ประโยชน์ในภายหลัง


ลักษณะและวิธีการของโครงการแก้มลิง
          ลักษณะของโครงการแก้มลิงจะดำเนินการระบายน้ำออกจากพื้นที่ตอนบน เพื่อให้น้ำไหลลงคลองพักน้ำที่ชายทะเล จากนั้นเมื่อระดับน้ำทะเลลดลงจนต่ำกว่าน้ำในคลอง น้ำในคลองจะไหลลงสู่ทะเลตามธรรมชาติ ต่อจากนั้นจะเริ่มสูบน้ำออกจากคลองที่ทำหน้าที่แก้มลิง เพื่อทำให้น้ำตอนบนค่อยๆ ไหลมาเอง จึงทำให้เกิดน้ำท่วมพื้นที่ลดน้อยลง จนในที่สุดเมื่อระดับน้ำทะเลสูงกว่าระดับในคลอง จึงปิดประตูระบายน้ำ โดยให้น้ำไหลลงทางเดียว (One Way Flow)

ประเภทของโครงการแก้มลิง

โครงการแก้มลิงมี ๓ ขนาด คือ
          ๑. แก้มลิงขนาดใหญ่ ( Retarding Basin) คือ สระน้ำหรือบึงขนาดใหญ่ ที่รวบรวมน้ำฝนจากพื้นที่บริเวณนั้นๆ โดยจะกักเก็บไว้เป็นระยะเวลาหนึ่งก่อนที่จะระบายลงสู่ลำน้ำ พื้นที่เก็บกักน้ำเหล่านี้ได้แก่ เขื่อน อ่างเก็บน้ำ ฝาย ทุ่งเกษตรกรรม เป็นต้น ลักษณะสิ่งก่อสร้างเหล่านี้จะมีวัตถุประสงค์อื่นประกอบด้วย เช่น เพื่อการชลประทาน เพื่อการประมง เป็นต้น
          ๒. แก้มลิงขนาดกลาง เป็นพื้นที่ชะลอน้ำที่มีขนาดเล็กกว่า ก่อสร้างในระดับลุ่มน้ำ มักเป็นพื้นที่ธรรมชาติ เช่น หนอง บึง คลอง เป็นต้น
          ๓. แก้มลิงขนาดเล็ก (Regulating Reservoir) คือแก้มลิงที่มีขนาดเล็กกว่า อาจเป็นพื้นที่สาธารณะ สนามเด็กเล่น ลานจอดรถ หรือสนามในบ้าน ซึ่งต่อเข้ากับระบบระบายน้ำหรือคลอง
          ทั้งนี้แก้มลิงที่อยู่ในพื้นที่เอกชน เรียกว่า "แก้มลิงเอกชน" ส่วนที่อยู่ในพื้นที่ของราชการและรัฐวิสาหกิจจะเรียกว่า "แก้มลิงสาธารณะ"

การจัดหาและออกแบบโครงการแก้มลิง
          การพิจารณาจัดหาพื้นที่กักเก็บน้ำนั้น ต้องทราบปริมาตรน้ำผิวดินและอัตราการไหลผิวดินที่มากที่สุดที่จะยอมปล่อยให้ออกได้ในช่วงเวลาฝนตก โดยสิ่งสำคัญคือต้องจัดหาพื้นที่กักเก็บให้พอเพียง เพื่อจะได้ไม่เป็นปัญหาในการระบายน้ำ ปัจจุบันมีแก้มลิงทั้งขนาดเล็ก และขนาดใหญ่กระจายอยู่ทั่วกรุงเทพมหานคร กว่า 20 จุด ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ทางฝั่งธนบุรี เนื่องจากมีคลองจำนวนมาก และระบายน้ำออกทางแม่น้ำเจ้าพระยา
          ทั้งนี้โครงการแก้มลิงแบ่งเป็น ๒ ส่วนคือ โครงการระบายน้ำในพื้นที่ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา โดยจะใช้คลองที่ตั้งอยู่ชายทะเลด้านจังหวัดสมุทรปราการ ทำหน้าที่เป็นทางเดินของน้ำ ตั้งแต่จังหวัด สระบุรี พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี นนทบุรี และกรุงเทพมหานคร
          ส่วนที่สอง คือคลองในพื้นที่ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งจะใช้คลองมหาชัย คลองสนามชัย และแม่น้ำท่าจีน ทำหน้าที่เป็นคลองรับน้ำในพื้นที่ตั้งแต่จังหวัดอ่างทอง อยุธยา ปทุมธานี นครปฐม และกรุงเทพมหานคร แล้วระบายลงสู่ทะเลด้านจังหวัดสมุทรสาคร
          นอกจากนี้ยังมีโครงการแก้มลิง "แม่น้ำท่าจีนตอนล่าง" เพื่อช่วยระบายน้ำที่ท่วมให้เร็วขึ้น โดยใช้หลักการควบคุมน้ำในแม่น้ำท่าจีน คือ เปิดการระบายน้ำจำนวนมากลงสู่อ่าวไทย เมื่อระดับน้ำทะเลต่ำ ซึ่งโครงการนี้จะประกอบไปด้วย ๓ โครงการในระบบคือ

          ๑.โครงการแก้มลิง "แม่น้ำท่าจีนตอนล่าง          ๒.โครงการแก้มลิง "คลองมหาชัย-คลองสนามชัย"          ๓.โครงการแก้มลิง "คลองสุนัขหอน"

          ด้วยพระปรีชาญาณ และพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงห่วงใยพสกนิกรของพระองค์  "โครงการแก้มลิง" จึงเกิดขึ้น และช่วยบรรเทาวิกฤต และความเดือดร้อนจากน้ำท่วมรอบกรุงเทพมหานคร และปริมณฑลให้เบาบางลงไปได้ โดยอาศัยเพียงแค่วิธีการทางธรรมชาติ

ข้าวกระเพราหมูสับไข่ดาว

อาหารตามสั่งเมนู ข้าวราดกระเพราหมูสับไข่ดาว
อาหารตามสั่งเมนู ข้าวราดกระเพราหมูสับไข่ดาว
อุปกรณ์เครื่องปรุงรส ข้าวราดกระเพราหมูสับไข่ดาว
กระเทียมไทยกลีบเล็ก30 กลีบ
พริกขี้หนูสีเขียวและแดง20 เม็ด
น้ำมันพืช3 ช้อนโต๊ะ
เนื้อหมูสันในหรือส่วนสะโพกสับหยาบ200 กรัม
ซอสปรุงรส1 ช้อนชา
น้ำปลา1 ช้อนชา
น้ำตาลทราย1 ช้อนชา
ข้าวสวย3 ถ้วย
กระเพราเด็ดใบ1 ถ้วย
น้ำมันพืช1 ถ้วย
ไข่ไก่2 ฟอง
ใบกระเพราทอดกรอบสำหรับตกแต่ง

วิธีการทำ ข้าวราดกระเพราหมูสับไข่ดาว
1. โขลกกระเทียมกับพริกขี้หนูเข้าด้วยกันพอแหลก ตักใส่ถ้วย พักไว้
2. ตั้งกระทะเทน้ำมันบนไฟกลางจนร้อน ใส่เครื่องที่โขลกลงผัดจนมีกลิ่นหอม จึงใส่เนื้อหมูสับลงผัดพอเข้ากันและทั่วสุก 
3. ปรุงรสด้วยซอสปรุงรส น้ำปลา และน้ำตาล ผัดอีกครั้งให้ทั่ว ใส่ใบกระเพรา ผัดสักครู่จนมีกลิ่นหอมของกระเพรา ปิดไฟ ตักใส่จานราดข้าว เตรียมไว้
4. ตั้งกระทะเทน้ำมันบนไฟกลางจนร้อน ต่อยไข่ใส่ถ้วย เทใส่กระทะน้ำมัน แล้วทอดไข่ให้สุกตามความชอบ ปิดไฟ ตักโปะบนข้าว ตกแต่งด้วยใบกระเพราทอดกรอบ เสิร์ฟร้อนๆ
เพียงแค่นี้เราก็ได้เมนูอาหารตามสั่ง ข้าวราดกระเพราหมูสับไข่ดาว ไว้รับประทานแล้วครับ

เคล็ดลับ  ใบกระเพรามี 2 ชนิด คือกระเพราขาวและกระเพราแดง กระเพราขาวก้านและดอกเป็นสีเขียวอ่อน กระเพราแดงใบเล็กกว่ามีสีเขียวอมม่วงแดง ก้านและดอกเป็นสีม่วง ให้กลิ่นหอมแรงกว่า ใบกระเพรามีน้ำมันหอมระเหย ข้อสำคัญต้องใส่ใบกระเพราขณะร้อนๆ เพราะจะให้กลิ่นหอมและรสเผ็ดร้อน

ประวัติ อุทยานประวัติศาสตร์พระนครคีรี (เขาวัง)

ประวัติความเป็นมา
    ในปี พ.ศ. 2402 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) โปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) เป็นแม่กองก่อสร้างพระราชวังสำหรับเสด็จแปรพระราชฐานขึ้นบนยอดเขาสมณ (สะ-หมน) หรือ เขามไหศวรรย์ (เพี้ยนมาจากเขามหาศวรรค์) ซึ่งเป็นภูเขาที่มียอดใหญ่ 3 ยอด มีความสูง 95 เมตร จากระดับน้ำทะเล เมื่อสร้างพระราชวังแล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2403 จึงพระราชทานนามว่า "พระนครคีรี" คนทั่วไปเรียกว่า "เขาวัง"
พระนครคีรีเป็นที่ประทับในฤดูร้อนเมื่อเสด็จประพาสเพชรบุรี พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จมาประทับแรมหลายครั้ง ครั้นรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ได้เสด็จมาประทับเป็นครั้งคราว และใช้เป็นที่ต้อนรับพระราชอาคันตุกะจากต่างประเทศ  แต่หลังจากนั้นพระนครคีรีไม่ได้ใช้เป็นที่ประทับของพระมหากษัตริย์อีก ในรัชกาลปัจจุบันโปรดเกล้าฯ ให้ซ่อมแซมพระราชวังแห่งนี้ และจัดเป็นพิพิธภัณฑ์เพื่อให้ประชาชนทั่วไปเข้าชม
กรมศิลปากรได้บูรณะปรับปรุงอาคารของพระราชวังด้านทิศตะวันตก และจัดตั้งเป็น "พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนครคีรี" และได้ประกาศให้พื้นที่ทั้งหมดเป็น "อุทยานประวัติศาสตร์พระนครคีรี" 
ข้อมูลทั่วไป 
อุทยานประวัติศาสตร์พระนครคีรี ตั้งอยู่บนเขาที่มียอดสูงประมาณ 95 เมตร ริมถนนเพชรเกษม ตำบลท่าราบ อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบุรี มีเนื้อที่รวม 8,500 ไร่ และเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนครคีรี
พระนครคีรี ประกอบด้วยพระที่นั่ง พระตำหนัก วัด และกลุ่มอาคารต่างๆ มากมาย ส่วนใหญ่เป็นสถาปัตยกรรมตะวันตกแบบนีโอคลาสสิค สถาปัตยกรรมไทย และจีน ตั้งอยู่บนยอดเขาใหญ่ 3 ยอด
การขึ้นชมเขาวัง ทำได้ 2 วิธี คือ
  1. เดินขึ้นเขาวัง เป็นวิธีที่ใช้กันมาแต่เดิม แม้จะต้องเหนื่อยสักหน่อยแต่จะได้ใกล้ชิดธรรมชาติ ซึ่งนอกจากจะอุดมไปด้วยแมกไม้นานาพันธุ์ โดยเฉพาะลั่นทมไทยที่บานสะพรั่งส่งกลิ่นหอมในฤดูร้อน ยังมีฝูงลิงใหญ่น้อยเจ้าของถิ่นออกมาทักทายและต้อนรับผู้มาเยือนอยู่ตามรายทางด้วย
  2. ขึ้นรถรางไฟฟ้า หรือเคเบิลคาร์ สำหรับผู้ที่ต้องการความรวดเร็ว สะดวก และปลอดภัย 
จุดเด่นหรือสิ่งสนใจ 


    พระนครคีรีมีสิ่งก่อสร้างทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญ และน่าสนใจบนยอดเขาทั้ง 3 ยอด ดังนี้
ยอดเขาด้านทิศตะวันตก
เป็นที่ตั้งของพระราชวังอันซึ่งมีพระที่นั่งและสิ่งก่อสร้างต่างๆ เช่น
  • พระที่นั่งเพชรภูมิไพโรจน์ ซึ่งเป็นพระที่นั่งองค์ใหญ่ประกอบด้วย ห้องบรรทม ห้องแต่งพระองค์ ห้องเสวย และห้องโถงออกขุนนาง (ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนครคีรี)
  • พระที่นั่งปราโมทย์มไหศวรรย์ เป็นพระที่นั่งสองชั้น ประกอบด้วยห้องบรรทม และห้องโถง
  • พระที่นั่งเวชยันต์วิเชียรปราสาท เป็นปราสาทยอดปรางค์สวยงามสูง 14 เมตร ปัจจุบันเป็นที่ประดิษฐานพระบรมรูปปั้นพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
  • พระที่นั่งราชธรรมสภา เป็นพระที่นั่งชั้นเดียวคล้ายเก๋งจีน แต่มีสถาปัตยกรรมแบบโรมันผสม ภายในพระที่นั่งประดิษฐานพระพุทธรูป ใช้เป็นที่ประชุมสาธยายธรรม
  • หอพิมานเพชรมเหศวร์ ประกอบด้วยหอย่อยเล็ก 3 หอ หอทางขวาเป็นศาลเทพารักษ์ (ศาลพระภูมิเจ้าที่) หอตรงกลางเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูป และหอทางซ้ายเป็นที่ประโคมสังคีต
  • ตำหนักสันถาคารสถาน เป็นหมู่ตำหนักขนาดใหญ่ สำหรับรับแขกเมือง ซึ่งสามารถพักแรมได้
  • หอจตุเวทปริตพัจน์ เป็นสถานที่ทรงบำเพ็ญพระราชกุศล ทรงสดับพระธรรมเทศนาในวันพระธรรมสวนะ
  • หอชัชวาลเวียงชัย เป็นอาคารทรงกลมคล้ายกระโจมไฟ หลังคาเป็นรูปโดม มุงด้วยกระจกโค้ง ภายในห้อยโคมไฟ ภายในโดมหอยโคมไฟไวมองเห็นได้ระยะไกลจากทะลซึ่งใช้เป็นจุดสังเกตของการเดินเรือในอดีต (ชาวบ้านเรียกว่า หอกระโจมแก้ว หรือ หอส่องกล้อง) พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ โปรดให้สร้างไว้โดยมีพระราชประสงค์จะทรงส่องกล้องทอดพระเนตรดวงดาวในตำราดาราศาสตร์
นอกจากนี้แล้วยังมี ศาลาทัศนานักขัตฤกษ์ โรงรถ โรงม้า ศาลามหาดเล็ก ศาลาลูกขุน ศาลาด่าน ศาลาเย็นใจ ทิมดาบองครักษ์ โรงครัว รอบพระราชวังมีป้อมล้อมอยู่ทั้ง 4 ทิศ คือ ป้อมธตรฐป้องปกทางทิศตะวันออก ป้อมวิรุฬหกบริรักษ์ทางทิศใต้ ป้อมวิรูปักษ์ป้องกันทางทิศตะวันตก และป้อมเวสสุวรรณรักษาทางทิศเหนือ
กรมศิลปากรได้ใช้บางส่วนของพระราชวังบนยอดเขาด้านทิศตะวันตกนี้ จัดตั้งเป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนครคีรี ภายในเก็บรักษาโบราณวัตถุต่างๆ ได้แก่ เครื่องราชูปโภคของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รูปหล่อโลหะสำริดและทองเหลืองที่ใช้สำหรับตกแต่งห้องต่างๆ ในพระที่นั่ง และเครื่องกระเบื้องของจีน ญี่ปุ่น และยุโรป





ยอดเขาด้านทิศตะวันออกบริเวณไหล่เขาเป็นที่ตั้งของวัดมหาสมณาราม เป็นวัดเก่าแก่ตั้งแต่สมัยอยุธยา ภายในพระอุโบสถมีภาพเขียนฝีมือขรัวอินโข่งบนผนังทั้งสี่ด้าน
ส่วนบนยอดเขาเป็นที่ตั้งของวัดพระแก้ว เป็นวัดที่สร้างใหม่เพื่อเป็นวัดประจำพระราชวังพระนครคีรี เช่นเดียวกับวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ซึ่งเป็นวัดประจำพระบรมมหาราชวังในกรุงเทพฯ แต่เดิมมีพระแก้วผลึกเป็นพระประธานแต่เมื่อสิ้นแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทางการได้นำพระแก้วผลึกกลับคืนไปกรุงเทพฯ โดยเปลี่ยนเป็นพระพุทธรูปหินอ่อนมาประดิษฐานเป็นพระประธานแทน
ภายในวัดพระแก้วประกอบด้วยพระอุโบสถขนาดเล็กประดับด้วยหินอ่อน ด้านหลังพระอุบสถเป็นพระพุทธเสลเจดีย์ เป็นเจดีย์ทรงกลม ฐานสี่เหลี่ยมจตุรัส กว้างด้านละ 9 เมตร องค์เจดีย์สูง 9 เมตร ทำด้วยหินอ่อนสีเทาอมเขียว ด้านหน้าพระอุโบสถ มีศาลา และพระปรางค์แดง ซึ่งเป็นพระปรางค์เป็นแบบไทย ย่อมุม ภายในโปร่ง มีซุ้มประตูทั้งสี่ทิศ (ปกติพระปรางค์จะตันและทึบ) ภายในมีแท่นสำหรับประดิษฐานพระพุทธรูป ชาวบ้านเรียกพระปรางค์นี้ว่า เจดีย์แดง
ยอดเขากลาง
เป็นที่ประดิษฐานพระธาตุจอมเพชร เป็นเจดีย์ทรงลังกาสีขาว ลักษณะภายในฐานกลวงเป็นหอกลมกลางฐานตรงกลางมีเสาใหญ่รับน้ำหนักองค์พระเจดีย์ รอบพระเจดีย์มีทางเข้าไปยังหอกลมสี่ทางด้วยกัน องค์เจดีย์สร้างบนภูเขาสูง 92 เมตร มีความสูงจากฐานเจดีย์ 40 เมตร บรรจุพระบรมสารีริกธาตุไว้ภายใน จากจุดนี้สามารถมองเห็นพระที่นั่งต่างๆ บนยอดเขาอีก 2 ยอด รวมทั้งทิวทัศน์ของตัวเมืองเพชรบุรีได้อีกด้วย
เด็ก, เยาวชน, ผู้ใหญ่, ครอบครัว, เที่ยวคนเดียว, เที่ยวเป็นกลุ่ม
เยี่ยมชมอุทยานประวัติศาสตร์พระนครคีรี (เขาวัง) นมัสการพระพุทธรูป เจดีย์โบราณ และชมภาพเขียนฝาผนังโบสถ์ตามวัดต่างๆ
จังหวัดเพชรบุรีมีการจัดงานประจำปี "พระนครคีรีเมืองเพชร" เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองพระราชวังที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2529 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน โดยจะจัดขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ หรือ เดือนเมษายน ของทุกปี รวม 10 วัน 10 คืน มีวัตถุประสงค์ที่จะเทิดพระเกียรติบูรพมหากษัตราธิราชไทย ตลอดจนเป็นการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมและส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ของจังหวัดเพชรบุรีให้เป็นที่แพร่หลายมากขึ้น ภายในงานมีกิจกรรมที่น่าสนใจ เช่น การแสดง และสาธิตงานศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้าน ในช่วงของการจัดงานจะมีการประดับไฟบนเขาวังอย่างสวยงาม
ตามแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ มีร้านขายของที่ระลึกที่มีสินค้าของฝากประจำจังหวัดให้เลือกซื้อตามความชอบ เช่น ขนมหม้อแกง ขนมไทย ขนมพื้นเมือง ผลิตภัณฑ์เครื่องหนังผลิตจากหนังปลานิล
เปิดให้เข้าชมทุกวัน เวลา 8.30 - 16.30 น.
ค่าเข้าชมอุทยานประวัติศาสตร์พระนครคีรี (รวมค่าเข้าชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนครคีรี) 
ชาวไทย 20 บาท
ชาวต่างประเทศ 150 บาท
ค่าบริการโดยสารรถรางไฟฟ้าขึ้นลงเขา (ตั๋วไป-กลับ)ผู้ใหญ่ 30 บาท
เด็ก 10 บาท